ไม่ว่าจะอ่านออกเสียงพร้อมกับเพื่อน ๆ หรือนั่งอ่านในใจ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “แบบเรียน” คือหนังสือที่เด็กไทยแทบทุกคน “ต้องอ่าน” นอกจากการถ่ายทอด “ข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่เด็ก ๆ ต้องรู้แล้ว แบบเรียนยังทำหน้าที่ถ่ายทอดแนวคิด ทัศนคติ ค่านิยม หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ผู้ใหญ่ “ต้องการ” ให้เด็กรู้ด้วย เด็ก ๆ จะมองโลกอย่างไร จะวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่าง ๆ ได้แตกฉานเพียงไหน แบบเรียนที่เด็ก ๆ ท่องและอ่านจนขึ้นใจนั้นมีบทบาทอย่างมาก ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ โดยสพฐ. ก็พยายามปรับปรุงหลักสูตรและบทเรียนเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แก้ว กล้า ตามารถไฟ (แบบเรียนภาษาไทยในหลักสูตรฯ ปี พ.ศ. 2533) จนมาถึงยุคของแบบเรียนชุด ‘ภาษาเพื่อชีวิต’ ตามแนวทางหลักสูตรฯ ปี พ.ศ. 2544 การพัฒนาหลักสูตรเหมือนจะเป็นไปได้ดี จนกระทั่งเราได้เห็นโฉมหน้าของแบบเรียนภาษาไทย หลักสูตรฯ พ.ศ.2551 ที่ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกกังวลใจ พร้อม ๆ เริ่มตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“การพัฒนาหลักสูตรอันยาวนานนี้ช่วยให้เกิดการสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาได้จริงหรือไม่?
แบบเรียนที่อยู่ในมือเด็กไทยนั้นปลูกฝังแนวคิดที่เข้ากับยุคสมัยจริงหรือเปล่า?”
อาจเป็นเพราะผู้เขียนเองก็เป็นนักเรียนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้จากแบบเรียนชุด ‘ภาษาเพื่อชีวิต’ ในหลักสูตรฯ ปี พ.ศ.2544 มาก่อน จึงสัมผัสถึงความแตกต่างนี้ได้ในระดับหนึ่ง แบบเรียนในชื่อเดียวกัน แต่เมื่อเปลี่ยนหลักสูตรไป ‘สาระสำคัญ’ ที่บทเรียนสื่อสารออกมาก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ยอมรับว่าในวัยเด็ก ผู้เขียนเองก็ไม่เอะใจอะไร แต่เมื่อผู้เขียนในวัย 23 ปีได้กลับมาย้อนทวนอ่านหนังสือเรียนเล่มเก่าของตัวเองอีกครั้ง ก็ได้เห็นสิ่งที่หนังสือเรียนต้องการจะสื่อสารกับเรามากขึ้น เห็นความตั้งใจของคณะผู้จัดทำที่พยายามสอดแทรกประเด็นการเรียนรู้ต่าง ๆ เข้ามาอย่างชัดเจนขึ้น และพบว่าแม้เวลาจะผ่านไปร่วมยี่สิบปี หนังสือภาษาพาทีเล่มนี้ก็ยังเผย ‘ความเปิดกว้าง’ ให้เราได้เห็นอยู่ เริ่มตั้งแต่หน้าแรกอย่างเช่น ‘แผ่นรองปก’
— เธอคือใคร: ปรีดา ปัญญาจันทร์
“เธอคือใคร” เป็นคำถามแรกที่เราเห็นหลังจากพลิก “ภาษาพาที” หน้าแรกขึ้นมาอ่าน คำถามนี้ได้นำไปสู่คำถามต่อมาว่า “ฉันคือใคร” ซึ่งเป็นชื่อของบทเรียนบทแรกของหนังสือภาษาพาที ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เห็นได้ชัดว่า บทเรียนนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อให้คำตอบที่ตายตัวกับผู้เรียนว่า “เธอต้องเป็นใคร” เด็ก ๆ สามารถนิยามตัวเองให้เป็นอะไรก็ได้ ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด
อีกหนึ่งความน่าสนใจของแบบเรียนชุดนี้คือวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ ด้วยสถานที่ใหม่อย่างโรงเรียนต้นไม้ ผ่านตัวละครใหม่ อย่าง ขวัญ หล้า ฝน ดิน ครูต้น ครูนก ครูข้าว และลุงไท รวมไปถึงตัวละครที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘ตะวัน’ ที่มักแทนตัวว่าฉัน ตะวันถือเป็นตัวเดินเรื่องที่สำคัญของหนังสือเรียนเล่มนี้ ตะวันจะพาผู้เรียนไปดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนต้นไม้ ตะวันอยู่ในทุก ๆ ที่ คอยอยู่ข้าง ๆ และให้คำแนะนำแก่เด็ก ๆ เสมอ แต่ก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด หรือให้คำตอบที่ชี้นำเด็ก ๆ แต่อย่างใด
“แม้ฉันจะล่วงรู้ ฉันก็จะไม่ตอบ ฉันจะรอให้เธอหาคำตอบเอง”
— ภาษาพาที ระดับประถมศึกษาปีที่ 5, หน้า 44
และเด็ก ๆ ทั้งในและนอกโลกหนังสือก็รับรู้ได้ว่าตะวันอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในแสงแดดยามเช้าที่ส่องประกาย “ยิบ ๆ” หรือ “กรุ่น ๆ” ในสายลม
หนังสือภาษาพาที ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วรรณคดีลำนำ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และวรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ สำหรับช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3) ขอบคุณรูปภาพจาก ร้านศึกษาภัณฑ์กาฬสินธุ์ และเฟสบุ๊ก หนังสือนิทานไทย-อังกฤษ
แม้จะสวยงามสร้างสรรค์เพียงใด แต่แบบเรียนชุดนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะในเวลาต่อมาก็ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรอีก แบบเรียนภาษาพาทีเล่มเก่าของผู้เขียน ก็กลายมาเป็นแบบเรียนภาษาพาทีและวรรณคดีลำนำหลักสูตรฯ ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ถึงความเหมาะสมของเนื้อหา กรอบความคิด และอุดมการณ์ด้านต่าง ๆ ที่สอดแทรกมาในบทเรียน
จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เราจึงอยากชวนทุกคนมาพูดคุยกับศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ชลธิรา สัตยาวัฒนา ถึงจุดเริ่มต้นของแบบเรียนชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' ชุดแรกที่เราได้เห็นกันเมื่อราว 20 ปีก่อน ในฐานะที่อาจารย์เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้จัดทำ บรรณาธิการ และเป็นหนึ่งในคณะผู้เรียบเรียงหนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' ด้วย
ภาษาจะพาทีกับเด็ก ๆ ในแง่มุมไหน
เจตนารมณ์ของคณะผู้จัดทำแบบเรียนชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' แต่เดิมนั้นเป็นอย่างไร
กว่าจะกลายมาเป็น ‘ภาษาพาที’ หลักสูตรฯ พ.ศ. 2544
แบบเรียนที่เคยเขียนอ่าน: แบบเรียน (ในความทรงจำ) ของอาจารย์ชลธิราคือเล่มไหน ?
อาจารย์ชลธิรา เคยเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นอกจากประสบการณ์ด้านการสอนและการวิจัยภาษาและวรรณคดีไทย อาจารย์ชลธิรายังเป็นนักมานุษยวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านไทย | ไทศึกษา ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาไทศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีผลงานวิจัยล่าสุดตีพิมพ์เป็นหนังสือ “ด้ำ แถน กำเนิดรัฐไทย” (สำนักพิมพ์ทางอีศาน 2561) ปัจจุบันอาจารย์ชลธิราเป็นนักเขียนนักวิจัยอิสระ และเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารทางอีศานด้วย
เมื่อพูดถึง “แบบเรียน” เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า แบบเรียนภาษาไทยที่อาจารย์ชลธิราเคยใช้เป็นอย่างไร อาจารย์บอกกับเราว่า
“การหวนรำลึกถึงแบบเรียนภาษาไทยสมัยเด็ก ๆ คือความสุขอย่างหนึ่ง”
แม้จะผ่านมาราว 60-70 ปีแล้ว อาจารย์ชลธิราในช่วงวัย 73 ปีก็ยังจำแบบเรียนแต่ละเล่มได้แม่นมั่น ไม่ว่าจะเป็น “ดอกสร้อยสุภาษิต ที่ทำให้ได้รู้จักธรรมชาติของ ‘นกกางเขน’ และรู้สึกซาบซึ้งในความรักของพ่อนกแม่นกที่มีต่อลูกนก แล้วย้อนคิดถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อเรา” รวมถึงการท่องบทอาขยาน ที่อาจารย์ชลธิราเล่าว่า “ยังจำได้ด้วยว่าตอนอยู่ชั้นประถมปีที่หนึ่ง ตกเย็นก่อนโรงเรียนเลิก คุณครูจะให้ท่องสูตรคูณกับอาขยาน บทที่ยังท่องจำได้ขึ้นใจ คือ ‘เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา ไว้หาเลี้ยงชีพสำหรับตน…’ กับอีกบทหนึ่งที่ชอบมาก คือ ‘แมวเอ๋ย แมวเหมียว... ร้องเรียกเหมียวเหมียวประเดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดูฯ’” ซึ่งอาจารย์คิดว่า การกำหนดให้ท่องบทอาขยานที่มีเนื้อหาเรียบง่ายและให้แนวคิดดี ๆ แบบนี้ มีผลอย่างยิ่งต่อเราในวัยเด็ก “เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างจิตสำนึกอันดี เช่น ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ความละเอียดอ่อนต่อธรรมชาติ ต้นไม้ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตรอบตัว”
ตัวอย่างหนังสือเรียนดรุณศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 - 4 ขอบคุณรูปภาพจาก อัสสัมชัญประวัติ และมิสภาณี ภิญญะพันธ์
“พอโตขึ้นอีกหน่อย ก็ได้อ่านแบบเรียนภาษาไทยจากหนังสือ ‘ดรุณศึกษา’ (อาจารย์ชลเรียนชั้นประถมถึงมัธยมปลายในรั้วคอนแวนต์นะคะ) ก็ยังจำบทอ่านภาษาไทยบางบทได้ขึ้นใจ แม้ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ท่องเป็นบทอาขยานตามข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น
เมืองไทยใหญ่อุดม |
ดินดีสมเป็นนาสวน |
เพื่อนรักเราชักชวน |
ร่วมช่วยกันมุ่งหมั่นทำ |
วิชาต้องหาไว้ |
เป็นหลักได้ใช้ช่วยนำ |
ให้รู้ลู่ทางจำ |
ค้นคว้าไปให้มากมี |
ช่วยกันอย่างขันแข็ง |
ด้วยลำแข้งและแรงกาย |
ทำไปไม่เสียดาย |
แม้อาบเหงื่อเมื่อทำงาน |
ดั่งนี้มั่งมีแท้ |
ร่มเย็นแน่หาไหนปาน |
โลกเขาคงเล่าขาน |
ถิ่นไทยนี้ดีงามเอย |
— หลวงดรุณกิจวิฑูร, แบบเรียนเร็วใหม่ เล่ม 1, กระทรวงศึกษาธิการ
บทสั้น ๆ คำง่าย ๆ เนื้อความกระชับ แต่เนื้อหากว้างขวาง ครอบคลุมความรักเมืองไทย (ชาติ) รักท้องถิ่นพื้นบ้าน รักเพื่อนและคบเพื่อนดี ๆ รักวิชาความรู้รักการค้นคว้า รักการใช้แรงงาน สิ่งเหล่านี้ฝังจิตฝังใจเราจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้เป็นคนได้ดีจนกระทั่งถึงทุกวันนี้”
จากผู้เรียนเคยเขียนอ่าน สู่คณะกรรมการผู้จัดทำแบบเรียน ชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต'
อาจารย์ชลธิราเล่าว่า ราว ๆ ยี่สิบปีก่อน ขณะเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นผู้บริหารรับผิดชอบสถาบันวิจัยฯ และศูนย์ไทยศึกษาอยู่ อาจารย์ได้รับเชิญให้ไปช่วยราชการสพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ ในตำแหน่ง 'รองประธานคณะกรรมการคัดสรรและเผยแพร่วรรณกรรมของชาติ' จากประสบการณ์ตรงส่วนนี้ อาจารย์ชลธิราเล่าว่า “คกก.ใช้เวลามากในการตัดสินเรื่องราวปัญหาหนึ่ง ๆ แม้ ‘คำ’ เพียงคำเดียว อาจจะต้องถก อภิปรายร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิและนักปราชญ์ราชบัณฑิตอาวุโสด้วยความเคารพเป็นเวลาสองสามชั่วโมง”
อาจารย์ชลธิราช่วยงานในส่วนนี้อยู่หลายปีจนมีความเข้าใจกระบวนการทำงาน ‘แบบกระทรวงศึกษาฯ’ เป็นอย่างดี จากนั้นก็เกิด ‘งานเข้า’ อีกครั้ง เมื่ออาจารย์ชลธิราได้รับการทาบทามให้เป็น“ประธานคณะกรรมการจัดทำแบบเรียนภาษาไทย” เพื่อจัดทำแบบเรียนวิชาภาษาไทยตามข้อกำหนดหลักสูตรใหม่ของ สพฐ.
แม้จะเข็ดหลาบกับการประชุมของคกก.คัดสรรฯ แต่ ‘งานเข้า’ ชิ้นนี้ก็มีความท้าทายมาก เนื่องจากจะต้องจัดทำและจัดพิมพ์แบบเรียนให้ทันเวลา และที่สำคัญก็คือ "ตามข้อกำหนดของหลักสูตรใหม่ มี ‘กุญแจคำ’ (Keyword) ที่แม้จะฟังดูกว้าง ๆ แต่ ‘โดนใจ’ มาก สำหรับยุคสมัยที่เพิ่งเริ่มถ่ายถอนนักเรียนจากระบบการเรียนรู้แบบท่องจำและทำข้อสอบแบบปรนัย มาเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ของยุคนั้น ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ และส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่ง ‘ท้าทาย’ เรามาก” อาจารย์ชลธิราเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่ตัดสินใจรับ ‘งานเข้า’ ชิ้นนี้
เมื่อตัดสินใจจะเริ่มทำงานดังกล่าว อาจารย์ชลธิราจึงเสนอเงื่อนไขที่จะรับทำงานชิ้นนี้ต่อท่านผู้รับผิดชอบงานส่วนนี้ของสพฐ. 3 ข้อ คือ
- ขอประกอบองค์คณะกรรมการผู้จัดทำแบบเรียนแต่ละเล่ม แต่ละชั้นเรียน ด้วยตัวเอง (แต่ยังให้ทุกฝ่ายร่วมแสดงความเห็น และมีการรับรู้รับรองร่วมกัน)
- กระบวนการทำงาน ต้องอนุญาตให้มีการลัดขั้นตอนเพื่อแข่งกับเวลา
- ขอให้จัดสรรงบประมาณจัดทำแบบเรียนชุดใหม่นี้ ที่ไม่ใช่ออกมาในรูปของ เบี้ยประชุมคณะกรรมการเป็นรายชั่วโมง
“ปรากฏว่าเงื่อนไขทุกข้อที่เสนอไปได้รับการสนองตอบอย่างดียิ่งจากท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ยังรู้สึกประทับใจจนถึงวันนี้เลยค่ะ” และนี่คือจุดเริ่มต้นของแบบเรียนชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' หลักสูตรปีฯ พ.ศ.2544
คณะกรรมการชุดใหม่และแบบเรียนที่ไม่อยู่ใน “กรอบ”
อาจารย์ชลธิราเล่าถึงกระบวนการทำจัดทำแบบเรียนชุดนี้ต่อไปว่า “หลังจากร่วมกันเลือก ‘ทีมงาน’ ที่เรามั่นใจว่าเป็นนักเขียน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย วรรณคดีไทย และไทยศึกษาแนว ‘เปิดกว้าง’ มีความคิดวิเคราะห์ รับฟังความเห็น และวิพากษ์วิจารณ์กันได้เต็มที่ (โปรดพิจารณาได้จากรายชื่อคณะกรรมการ[1] ทุกชุดของทุกเล่มได้จากแบบเรียน) คณะผู้จัดทำและตัวอาจารย์ชลธิราในฐานะประธานกรรมการฯ ก็ต้องกางหลักสูตรใหม่ที่เตรียมประกาศใช้มาศึกษาอย่างจริงจัง จากนั้นจึงเริ่มออกแบบ ร่วมกันคิดค้น สร้างสรรค์แบบเรียน รวมทั้งทำบรรณาธิการกิจ (ร่าง) ‘แบบเรียนใหม่’ ชุดนี้ให้สอดคล้องกันไปกับหลักสูตรใหม่ที่กำหนดขึ้น โดยล้อกันไปกับ ‘แผนยุทธศาสตร์ชาติ’ ในขณะนั้นด้วย”
“ในเมื่อคณะทำงานมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะจัดทำแบบเรียนภาษาไทยในแนว ‘ภาษาเพื่อชีวิต” จึงมีการสอดแทรกแนวคิดเชิง ‘อุดมคติ’ ในแนวเพื่อชีวิต เพื่อประชาสังคม เพื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงไปในเนื้อหาแบบเรียนและแบบฝึกหัดของทุกชั้นเรียน ทั้งนี้ได้ร่วมกันทำ ‘บรรณาธิการกิจ’ ไปอย่างแนบเนียน ให้ดูกลมกลืน ไม่แข็งขืน ไม่สื่อออกมาแบบจงใจยัดเยียด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทีมงานของเราต่างมีทัศนคติที่ดีมากต่อการสร้างสรรค์งานชิ้นสำคัญนี้ เราตระหนักดีว่าแบบเรียนภาษาไทยระดับพื้นฐาน (หมายถึงประถมต้น ประถมปลาย และมัธยมต้น) มีความสำคัญยวดยิ่งต่อการสร้างนักเรียนให้เป็นคนสมยุคสมัย โดยมีพื้นฐานทางความคิดอ่าน วิเคราะห์ วิจักษ์ วิจารณ์ รวมทั้งวิพากษ์ จำแนกแยกแยะปัญหาต่าง ๆ ที่เขาเผชิญรอบตัวด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้พวกเขาสามารถบรรลุวุฒิภาวะด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านพุทธิปัญญาและอารมณ์ เพื่อที่จะอยู่กับ ‘โลกอนาคต’ ได้ อย่างเป็นสุขตามอัตภาพเมื่อเขาเติบโตไปในภายภาคหน้า”
“โดยภาพรวมแล้ว แบบเรียนภาษาไทยชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' มุ่งเน้นไปที่การวางรากฐาน ‘ชีวิตและอนาคต’ ของผู้เรียน รายละเอียดเนื้อหาที่สอดแทรกลงไปในแบบเรียน จึงไม่ลอยตัวเหินห่างจากอดีตในส่วนที่งดงามและสร้างสรรค์ และไม่ใช่แนวอนุรักษ์นิยมโดด ๆ ซึ่งนักเขียน หรือผู้แต่งตำราที่ได้รับเชิญให้มาร่วมทีมในครั้งนั้นก็มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะสร้างแบบเรียนที่ริเริ่มสร้างสรรค์ มีลักษณะฉีกจากกรอบเดิม เห็นได้จากแนวคิดที่สะท้อนออกมาในงาน อันมีลักษณะไม่กอด ‘โครงสร้าง’ อย่างตายตัว” ความตั้งใจเหล่านี้ของคณะผู้จัดทำแบบเรียนได้มีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน แล้วถ่ายทอดผ่านแบบเรียนชุด ‘ภาษาเพื่อชีวิต’ อย่างชัดเจนตรงเป้าหมาย
[1] สามารถดูรายชื่อคณะกรรมการผู้จัดทำแบบเรียนชุด ‘ภาษาเพื่อชีวิต’ได้ ที่นี่
แบบเรียนใหม่ 2 (+1) เล่ม
ในการจัดทำแบบเรียนภาษาไทย ชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' ตาม หลักสูตรใหม่ (พ.ศ.2544) นี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากหลักสูตรเดิมในหลายส่วน ประการแรกที่ทำให้แบบเรียนชุดนี้แตกต่างจากแบบเรียนชุดก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดคือ ในแง่รูปแบบการนำเสนอ มีการแยกส่วนของการใช้ภาษาออกมาจากวรรณคดีอย่างชัดเจน ผ่านแบบเรียน 2 (+1) เล่ม ได้แก่ ภาษาพาที วรรณคดีลำนำ และวรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ พร้อมด้วยแบบฝึกหัดอีก 2 เล่ม ได้แก่ ทักษะภาษา และทักษะปฏิสัมพันธ์
ที่ต้องบอกว่าเป็นแบบเรียน 2 (+1) เล่มก็เพราะว่า "แบบเรียนที่บรรจุในหลักสูตรบังคับจะมีแค่ ‘ภาษาพาที’ ‘วรรณคดีลำนำ’ และแบบฝึกหัดควบคู่เล่ม ‘ทักษะภาษา’ เท่านั้น ส่วนแบบเรียน ‘วรรณกรรมปฏิสัมพันธ์’ และแบบฝึกหัดคู่ขนาน คือ ‘ทักษะปฏิสัมพันธ์’ นั้น จะมุ่งส่งเสริมความถนัดด้านปฏิสัมพันธ์สำหรับผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านภาษาเชิงสร้างสรรค์เป็นพิเศษ จึงไม่ได้กำหนดให้เป็นแบบเรียนบังคับสำหรับผู้เรียนทั่วไป"
อาจารย์ชลธิราได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการ “รื้อ-สร้าง” แบบเรียนชุดใหม่นี้ไว้ว่า… “แม้ภาษากับวรรณคดีจะเป็นสิ่งคู่เคียงกันจริง และครูก็ย่อมสอนไปพร้อม ๆ กันได้ (ซึ่งก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร) แต่เจตนาของการออกแบบแยกเล่มก็เพราะต้องการให้แยกเรียน เพื่อลงลึกได้ทั้งในแง่ศาสตร์ของภาษา ในแง่ศิลปะของวรรณคดี และในแง่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน แบบเรียนภาษา และโลกรอบตัว โดยการค้นหา ‘ตัวตน’ จากภายในของตัวนักเรียนเอง ซึ่งแบบเรียนเดิม ๆ ไม่เคยมีสิ่งนี้”
"‘ภาษาพาที’ เพื่อให้ใช้เป็น อ่าน พูด เขียน สื่อสารได้
‘วรรณคดีลำนำ’ เพื่อให้วิจักษ์ วิจารณ์ ซาบซึ้งกับทั้ง คติชน วรรณคดี และวรรณกรรมปัจจุบัน (รู้รักคุณค่าของบทกวีสร้างสรรค์ในอดีต)
ส่วน ‘วรรณกรรมปฏิสัมพันธ์’ เน้นภาคปฏิบัติ (ด้วยตนเอง) นักเรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นตัวของตัวเองในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อเสริมความคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และการคิดการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ครูเป็นเพียงพี่เลี้ยง ไม่เข้าไปครอบงำ หรือนำพาทิศทางพัฒนาการของเด็กนักเรียน”
“แต่การใช้งานแบบเรียนก็ขึ้นอยู่กับความสันทัดของครูผู้สอน รูปแบบของตารางสอน และการเอื้อเวลานอกชั้นเรียนเพื่อทำแบบฝึกหัดวรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ที่ได้ออกแบบขึ้นใหม่”
แบบเรียนภาษาไทย ชุด 'ภาษาเพื่อชีวิต' จึงประกอบไปด้วยแบบเรียน 2 (+1) ที่ทำไปทำมากลายเป็น 3 (+2) เล่ม โดยมีจุดประสงค์แตกต่างกันไปอย่างที่เราได้เห็นกัน
แบบเรียนที่ดี และภาษาพาทีในลักษณะ “รื้อ - สร้าง”
เมื่อเราสอบถามถึง ‘แบบเรียนที่ดี’ ในความเห็นของอาจารย์ชลธิราว่าเป็นอย่างไร อาจารย์ก็ยกคุณลักษณะของแบบเรียนที่ดีในความเห็น (และในฝัน) ว่าควรเป็นแบบเรียนที่...
- ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เรียนผ่านปฏิสัมพันธ์ทางภาษา วรรณกรรม และสภาพแวดล้อมรอบตัว
- ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความละเอียดอ่อน เห็นงดงามของธรรมชาติ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
- เพื่อให้ผู้เรียนเห็นแง่มุมชีวิตที่งดงามและสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล
- เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในพหุสังคม โดยเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง
- สร้างความรับรู้และใส่ใจในเพื่อนมนุษย์ กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้กับผู้เรียน รวมถึงการเรียนรู้ที่จะ ‘ไม่ละเมิด’ สิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิชุมชน และสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น
- ยกระดับการใช้ภาษาและวรรณคดีของผู้เรียน นำร่องไปสู่การวิจักษ์ วิเคราะห์ วิจารณ์ และวิพากษ์ตามระดับที่เหมาะสม
ทั้งนี้ในมุมของผู้ใช้หนังสือจริง ผู้เขียนเองก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจส่วนนี้ของคณะผู้จัดทำ ส่วนในมุมมองของผู้ร่วมออกแบบ จัดทำ และสร้างแบบเรียนชุดนี้ขึ้นมา อาจารย์ชลธิรากล่าวว่า “คณะผู้จัดทำมีความภาคภูมิใจร่วมกันเป็นอย่างมาก ระหว่างการจัดทำ ในเชิงกระบวนการ ไม่มีปัญหาใด ๆ เลย ทั้งในหมู่คณะกรรมการผู้ร่วมกันจัดทำ (หมายความว่า ไม่มีปัญหาถกเถียงโต้แย้งจนวงแตก หรือมีท่านใดขอปลีกตัวลาออกกลางคัน หรือประธานฯ ท้อใจ กลัดกลุ้ม) ยอมรับว่าเป็นงานหนักหน่วงแสนสาหัส เพราะมีลักษณะ ‘รื้อ - สร้าง’ จากแบบแผนของแบบเรียนเดิมค่อนข้างมาก เรียกได้ว่า ‘แหกคอก’ พอสมควร แต่ก็ร่วมจิตร่วมใจกันทำจนบรรลุได้แม้มีระยะเวลาอันจำกัด”
นอกจากนี้ ลักษณะ ‘รื้อ - สร้าง’ ที่อาจารย์ชลธิรากล่าวถึง ยังปรากฏในแบบเรียน ‘ภาษาพาที’ ในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น การศึกษาวรรณคดีไทยเชิงวิพากษ์ ที่ปรากฎในบทที่ 10 “ปริศนาโพธิ์สามต้น”ตัวบทเรียนมีการนำเรื่องราวจากวรรณคดีไทยเรื่อง ‘ขุนช้าง ขุนแผน’ มาให้เด็ก ๆ ขบคิด ตั้งคำถาม ตีความ รวมถึงพิจารณาเรื่องเดียวกันผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัว ซึ่งมีลักษณะ ‘รื้อ - สร้าง’ แตกต่างจากแบบเรียนในยุคก่อนหน้าค่อนข้างมาก ทั้งยังชวนเด็ก ๆ ให้คิดต่อยอดไปถึงประเด็นอื่น ๆ นำไปสู่การอภิปรายเรื่องความเชื่อในสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของคณะผู้จัดทำ ที่อยากเห็นอนาคตของชาติ “มีความเป็นตัวของตัวเอง ช่างคิด ช่างสงสัย ช่างค้นคว้า รู้จักสืบค้นหาสัจธรรมด้วยตนเอง โดยใช้เหตุใช้ผล สามารถสลัดตัวเองให้พ้นจากกรอบความคิดอนุรักษ์นิยมที่คับแคบ ก้าวข้ามจารีตประเพณีและความเชื่อที่งมงายล้าหลังได้โดยยังคงรู้จัก รัก ชื่นชม วัฒนธรรมไทยและความเป็นไทยในส่วนที่งดงาม ที่สำคัญคือ รักความเป็นธรรม รักเพื่อนมนุษย์ รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”กว่าแบบเรียนเล่มนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย “ทั้งนี้ ต้องขอแสดงความชื่นชมต่อทีมงานกรรมการในส่วนของเลขานุการ ซึ่งเป็นตัวแทนของสพฐ. (สถาบันภาษาไทย) ในสมัยนั้นด้วย เราไม่ทราบว่าท่านต้อง ‘ทำการบ้านกับผู้ใหญ่ในกระทรวงฯ’ มากน้อยเพียงใด เพราะท่านมีวินัยข้าราชการดีมาก ไม่มีเสียงปริปากบ่นจากท่านเลย” อาจารย์ชลธิรากล่าว
เพดานการเรียนรู้ใหม่ และแบบเรียนที่ยากเกินไปสำหรับผู้ใช้จริง
-3.png?width=840&name=pic01_Draft01-(resize)-3.png)
สิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นในแบบเรียนของหลักสูตรก่อน ๆ ก็ได้เห็นในแบบเรียนภาษาไทย ชุด “ภาษาเพื่อชีวิต” หลักสูตรฯ ปี พ.ศ.2544 ไม่ว่าจะเป็นคำถามปลายเปิดต่าง ๆ แนวคิดอันเปิดกว้างและไม่จำกัดกรอบความคิดของผู้เรียน หรือจะเป็นการยกตัวอย่างภาพสะท้อนสังคมเมืองในไทยผ่านบทกวีมากสัญญะอย่าง ‘กล่อมตุ๊กตา’ (จาก ‘นครคับแคบ’ ของศิวกานท์ ปทุมสูติ) เพื่อให้ผู้เรียนฝึกแปลความหมายจากสัญญะในภาษา พร้อม ๆ ไปกับการตระหนักรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ในสังคม หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยในไทย ในบทอ่านเสริมเรื่อง ‘ไร่หมุนเวียนของชาวปกากะญอ’ ประเด็นที่แทบไม่มีใครเคยพูดถึงในยุคนั้น ก็ยังปรากฎให้เห็นในแบบเรียนเล่มนี้
ดูแล้วเนื้อหาเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ ‘หนัก’ และบางเรื่องก็ยังเป็นปัญหาที่ยังเกิดขึ้นอยู่จริงในสังคมไทย ซึ่งอาจารย์ชลธิราได้กล่าวถึงการสอดแทรกประเด็นเหล่านี้ลงไปในหนังสือเรียนว่า “ขณะสร้างงาน ออกแบบ จัดทำและจัดพิมพ์ คิดว่าแม้จะเป็นประเด็นใหม่ เปิดขอบฟ้าใหม่ และขยายเพดานการเรียนรู้และความรับรู้ให้สูงขึ้น ซึ่งอาจจะหนักหากเทียบกับที่เคยมีอยู่เดิม แต่คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประกอบสร้างพื้นฐานชีวิตสำหรับ “ตัวตน” เด็กรุ่นใหม่ คือ รักอดีต แต่ไม่หวนไห้โหยหาอดีต มุ่งสู่อนาคต โลกข้างหน้า สารสนเทศ (IT) และถนนไซเบอร์ เราคิดว่า เด็กเรียนรู้ได้ไว รับได้แน่นอน”
“แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึง… หมายถึงตัวประธานฯ เอง มารับทราบจากทางกระทรวงศึกษาธิการ โดยสพฐ. ว่าให้ยกเลิกการใช้แบบเรียนชุดนี้ เพราะมีเสียงสะท้อนจากครูผู้สอน ผู้ใช้แบบเรียนชุดนี้ว่า ‘ยากเกินไป’”
แบบเรียนที่เปลี่ยนไป และการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ (อีกครั้ง)
_quote.png?width=840&name=pic02_Draft03-(resize)_quote.png)
จากหลักสูตรฯ พ.ศ.2533 พัฒนามาเป็นหลักสูตรฯ พ.ศ.2544 และด้วยปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ ทำให้เกิดการปรับปรุงหลักสูตรใหม่อีกครั้งจนกลายมาเป็นหลักสูตรฯ ปี พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นหลักสูตรปัจจุบันที่โรงเรียนใช้อยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงด้านหลักสูตรในวงการการศึกษานั้นเกิดขึ้นตลอดจนเป็นเรื่องปกติ แบบเรียนหลายกลุ่มสาระต้องปรับปรุงให้มีเนื้อหาที่ตรงตามหลักสูตรใหม่นี้อยู่เสมอ รวมถึงแบบเรียนภาษาไทยด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงสะท้อนเหล่านี้เกิดขึ้น ทำให้แบบเรียนในหลักสูตรใหม่นี้มีความแตกต่างจากหลักสูตรเดิมในหลาย ๆ ด้าน
“ที่ถามว่าแบบเรียนสมัยก่อนกับปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไรนั้น คงจะให้คำตอบอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้ เพราะแต่ละวิชาและแต่ละสาระการเรียนรู้มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน และในช่วงหลัง ๆ มานี้ก็มีแบบเรียนทั้งของรัฐและเอกชน แต่มีข้อสังเกตว่า เมื่อมีข้อกำหนดจากหลักสูตรของทางการ ซึ่งมักจะมีการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างความคิดและวิธีการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้ภาษาไทยผ่านแบบเรียน จำเป็นต้อง “ติดกรอบ” เมื่อมีการครอบลงมาของกลไกของโครงสร้างรัฐชาตินิยมที่คับแคบ ความเป็นธรรมดาและความเป็นธรรมชาติก็ดูเหมือนว่าจะจางหายไป อ่านแล้วรู้สึกอึดอัดแทนเด็ก ๆ เหมือนถูกยัดเยียดแทนการค่อย ๆ ซึมซับ”
.png?width=840&name=pic04_Draft02-(resize).png)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายช่องทาง การปรับตัวของแบบเรียนจึงจำเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจารย์ชลธิราได้ให้ความเห็นไว้ว่า “โลกทัศน์และชีวทัศน์ของนักเรียนใน พ.ศ.ปัจจุบัน (2563) นั้นไปไกลกว่าตัวอย่างที่เห็นในบทเรียนมาก ในภาพรวมแล้ว แบบเรียนจึงควรมีลักษณะเปิดกว้าง ให้แนวทางนักเรียนในการเรียนรู้จากสื่อสารสนเทศ อย่างจำแนกแยกแยะได้ ว่าส่วนไหนเป็นขุมทรัพย์ของวิทยาการ กองไหนเป็นขยะไซเบอร์ หนังสือเรียน อาจย่อส่วนลงเพียงเป็น ‘คู่มือนักเรียน’ ในกระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียนออกแบบ สร้างโจทย์ ขบโจทย์ได้ ทั้งโดยปัจเจก และกระบวนการมีส่วนร่วมกับสังคม” เพราะโลกแห่งการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้อยู่แค่ในแบบเรียนอีกต่อไปแล้ว ดังบทกวีในหนังสือ ‘ภาษาพาที’ ที่ว่า...
“อยู่นอกหนังสือ หรือในหนังสือ แค่อ่านหนังสือ ไม่พอใช่ไหม
ประสบการณ์ตรง ประสบพบจริง จะเผยความจริง ยิ่งกว่าความเข้าใจ”
— ภาษาพาที ระดับประถมศึกษาปีที่ 5, หน้า 76
หลังจากร่วมรับฟังเรื่องราวการร่วมสร้างแบบเรียนภาษาไทยของอาจารย์ชลธิรา ก็มีหลากหลายความรู้สึกเกิดขึ้นในใจของเรา แต่อย่างน้อย ๆ จากร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงอันยาวนานนี้ก็ทำให้เราอุ่นใจขึ้นได้ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีแบบเรียนที่เปิดกว้างทางความคิด มีคณะกรรมการและคณะผู้จัดทำที่พยายามผลักดันเพดานการเรียนรู้ของเด็กไทยให้สูงขึ้นด้วยเจตนาและความมุ่งมั่นอันดี แม้แบบเรียนชุดนี้จะถูกยกเลิกใช้ไป และการโหยหาอดีตก็ไม่ใช่หนทางที่ดีนัก ดังที่อาจารย์ชลธิรากล่าวกับเราว่า
“โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว ไม่ว่าใครจะทำอะไรในยุคสมัยปัจจุบัน ก็ไม่ควร ‘ผลิตซ้ำ’ ของเก่า ต้อง ‘รื้อสร้าง’ และ ‘ผลิตสร้างใหม่’ เพราะอย่างน้อยที่สุด ‘สิ่งที่เคยพูดไม่ได้ ก็ต้องพูดกันได้ ถกกันได้’ ในแบบเรียนยุคใหม่”
กระนั้นเรายังมีความหวังว่าในการปรับปรุงหลักสูตรฯ ครั้งหน้า เราจะได้เห็นแบบเรียนใหม่ ๆ ที่ ‘เปิดกว้าง’ สมยุคสมัย พร้อมโอบรับความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงจากระลอกคลื่นแห่งอนาคตในทุกรูปแบบ
ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ชลธิรา สัตยาวัฒนา ในการเอื้อเฟื้อข้อมูล
และผลงานภาพประกอบหนังสือเรียนภาษาพาที ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยคุณปรีดา ปัญญาจันทร์
Reference:
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย ชุด ภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2550.